Skip to Content

Wi-Fi 7 มาพร้อมความเร็วสูงสุด

Wi-Fi 7: ก้าวล้ำสู่ยุคแห่งความเร็วและ Latency ต่ำแบบไร้ขีดจำกัด ในโลกที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายกลายเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เทคโนโลยี Wi-Fi ก็ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง และในที่สุด ยุคสมัยของ Wi-Fi 7 ก็ได้มาถึง พร้อมสัญญาว่าจะปฏิวัติประสบการณ์การใช้งานเครือข่ายไร้สายไปอีกขั้น ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า Latency ที่ต่ำลง และประสิทธิภาพที่รองรับการใช้งานที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

Wi-Fi 7 คืออะไร?

Wi-Fi 7 หรือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า IEEE 802.11be Extremely High Throughput (EHT) เป็นมาตรฐานล่าสุดของเทคโนโลยี Wi-Fi ที่พัฒนาต่อจาก Wi-Fi 6 และ Wi-Fi 6E โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล ลดความหน่วง และเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับอุปกรณ์จำนวนมากขึ้นในเครือข่ายเดียวกัน

สถาบันวิศวกรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (IEEE) คาดว่าจะเสร็จสิ้นข้อกำหนดของ Wi-Fi 7 ในปี 2024 Intel เปิดเผยไทม์ไลน์ในการนำพีซี Wi-Fi 7 ออกสู่ตลาด โดยจะมีการเชื่อมต่อที่เสถียรและเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับอุปกรณ์ไร้สายที่มากขึ้น คาดว่าปลายปี 2024 หรือ 2025 Wi-Fi 7 จะถูกติดตั้งในผลิตภัณฑ์พีซี เช่น แล็ปท็อป

เทคโนโลยีเบื้องหลังความแรงของ Wi-Fi 7

Wi-Fi 7 มาพร้อมกับการอัปเกรดและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สำคัญดังนี้

  • แบนด์วิดท์ช่องสัญญาณที่กว้างขึ้น: Wi-Fi 7 รองรับช่องสัญญาณที่มีความกว้างสูงสุดถึง 320 MHz ซึ่งกว้างกว่า Wi-Fi 6 และ 6E ที่มีช่องสัญญาณกว้างสุด 160 MHz ทำให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้นในครั้งเดียว ส่งผลให้ความเร็วโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • 4096-QAM (Quadrature Amplitude Modulation): Wi-Fi 7 ยกระดับการเข้ารหัสสัญญาณด้วย 4096-QAM ซึ่งสามารถบรรจุข้อมูลได้มากขึ้นต่อหนึ่งสัญลักษณ์ (symbol) เมื่อเทียบกับ 1024-QAM ใน Wi-Fi 6 และ 6E ส่งผลให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่อช่องสัญญาณสูงขึ้น
  • Multi-Link Operation (MLO): ถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นที่สุดของ Wi-Fi 7 โดย MLO ช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อและใช้งานหลายคลื่นความถี่ (2.4 GHz, 5 GHz, และ 6 GHz) พร้อมกันได้ ทำให้สามารถเพิ่มความเร็ว ลด Latency และเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคลื่นความถี่ใดคลื่นความถี่หนึ่งมีปัญหา อุปกรณ์ยังสามารถใช้งานคลื่นความถี่อื่นได้อย่างต่อเนื่อง
  • Preamble Puncturing: เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ Wi-Fi 7 สามารถใช้งานช่องสัญญาณที่กว้างขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้ว่าจะมีสัญญาณรบกวนบางส่วนในช่องสัญญาณนั้นๆ โดยจะ "เจาะ" ส่วนที่มีสัญญาณรบกวนออกไป และใช้งานส่วนที่เหลือ ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากแบนด์วิดท์ที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่
  • รองรับจำนวน Streams ที่มากขึ้น: Wi-Fi 7 สามารถรองรับ Streams ได้สูงสุดถึง 16 Streams (8x8 + 8x8) ซึ่งมากกว่า Wi-Fi 6 และ 6E ที่รองรับสูงสุด 8 Streams ทำให้สามารถรองรับการเชื่อมต่อและรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์จำนวนมากขึ้นพร้อมๆ กันได้อย่างราบรื่น


Wi-Fi 7 เร็วแค่ไหน?

ตามทฤษฎีแล้ว Wi-Fi 7 สามารถทำความเร็วในการรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 40 Gbps (กิกะบิตต่อวินาที) ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 6E ที่ทำได้สูงสุดประมาณ 9.6 Gbps อย่างไรก็ตาม ความเร็วในการใช้งานจริงจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ, ระยะห่างจาก Router, และความสามารถของอุปกรณ์ปลายทาง

ประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับจาก Wi-Fi 7:

  • การดาวน์โหลดและอัปโหลดที่รวดเร็วทันใจ: ดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่, สตรีมวิดีโอความละเอียดสูงระดับ 8K หรือแม้แต่การดาวน์โหลดเกมขนาดใหญ่จะทำได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
  • ประสบการณ์การเล่นเกมออนไลน์ที่เหนือกว่า: ค่า Latency ที่ต่ำลงอย่างมากจะช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์มีความลื่นไหล ตอบสนองได้ทันที และลดปัญหาอาการแล็ก
  • การสตรีมมิ่งที่เสถียรและคมชัด: รับชมภาพยนตร์และรายการทีวีความละเอียดสูงโดยไม่มีสะดุดหรือบัฟเฟอร์
  • การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ที่มีประสิทธิภาพ: การประชุมผ่านวิดีโอ, การแก้ไขเอกสารร่วมกัน หรือการใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องการการตอบสนองแบบทันทีจะเป็นไปอย่างราบรื่น
  • รองรับอุปกรณ์ IoT จำนวนมากขึ้น: ด้วยความสามารถในการจัดการการเชื่อมต่อที่ดียิ่งขึ้น Wi-Fi 7 จะรองรับการใช้งานอุปกรณ์ Smart Home และ IoT จำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ประสบการณ์ VR/AR ที่สมจริงยิ่งขึ้น: แบนด์วิดท์ที่สูงขึ้นและ Latency ที่ต่ำลงจะช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชัน Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เป็นไปอย่างสมจริงและไร้รอยต่อ

ปัจจุบัน Wi-Fi 7 อยู่ที่ไหน?

ณ ปัจจุบัน (เมษายน 2025) เทคโนโลยี Wi-Fi 7 กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการใช้งาน อุปกรณ์ Router และอุปกรณ์ Client (เช่น สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อป) ที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 7 เริ่มทยอยเปิดตัวและวางจำหน่ายมากขึ้นเรื่อยๆ คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 และต่อๆ ไป เราจะได้เห็นการใช้งาน Wi-Fi 7 อย่างแพร่หลายมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

สรุป

Wi-Fi 7 ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก, Latency ที่ต่ำลง, และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ทำให้ Wi-Fi 7 พร้อมที่จะมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อที่ไร้ขีดจำกัด รองรับการใช้งานที่หลากหลายในยุคดิจิทัลที่อุปกรณ์และการใช้งานอินเทอร์เน็ตมีความซับซ้อนและต้องการแบนด์วิดท์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมาถึงของ Wi-Fi 7 จะเป็นตัวเร่งให้เกิดนวัตกรรมและประสบการณ์ใหม่ๆ ในโลกของการเชื่อมต่อไร้สายอย่างแน่นอน